top of page
ค้นหา

P-Value คืออะไร และนัยสำคัญทางสถิติ สิ่งที่นักวิจัยต้องรู้

รูปภาพนักเขียน: Data Investigator TeamData Investigator Team

P-Value คืออะไร

ในการวิจัย นัยสำคัญทางสถิติ (Statistical Significance) เป็นแนวคิดสำคัญที่ใช้พิจารณาว่าผลลัพธ์ที่พบเกิดขึ้นจากความบังเอิญหรือไม่ ตัวแปรสำคัญที่ช่วยตัดสินเรื่องนี้คือ ค่า P-Value ซึ่งเป็นค่าที่นักวิจัยใช้ประเมินความแข็งแกร่งของผลลัพธ์ทางสถิติ

 

แต่ค่า P-Value คืออะไร? ควรใช้ค่าเท่าไรจึงเหมาะสม 0.05 หรือ 0.01? และควรใช้อย่างไรให้ถูกต้อง? บทความนี้จะอธิบาย ความหมายของค่า P-Value การตีความ การเลือกใช้ และข้อควรระวังในการนำไปใช้

 

ค่า P-Value คืออะไร?

 

ค่า P-Value (Probability Value) คือ ค่าความน่าจะเป็น ที่แสดงว่าผลลัพธ์ที่ได้ (หรือผลลัพธ์ที่รุนแรงกว่านี้) สามารถเกิดขึ้นได้จากความบังเอิญ หากสมมติฐานว่าง (Null Hypothesis) เป็นจริง

  • ค่า P-Value ต่ำ (เช่น < 0.05 หรือ < 0.01) หมายความว่า มีโอกาสน้อยที่ผลลัพธ์เกิดจากความบังเอิญ นักวิจัยจึงมีหลักฐานเพียงพอที่จะ ปฏิเสธสมมติฐานว่าง และยอมรับว่าสิ่งที่ศึกษาอาจมีผลจริง

  • ค่า P-Value สูง (เช่น > 0.05) หมายความว่า ผลลัพธ์ที่ได้อาจเกิดจากความบังเอิญ ทำให้ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะปฏิเสธสมมติฐานว่าง

 

การตีความค่า P-Value

  • p < 0.05: ถือว่า มีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งหมายความว่ามีโอกาสน้อยกว่า 5% ที่ผลลัพธ์ที่ได้เกิดจากความบังเอิญ

  • p < 0.01: เป็นหลักฐานที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นต่อสมมติฐานว่าง มักใช้ในงานวิจัยที่ต้องการความแม่นยำสูง

  • p > 0.05: หมายความว่าผลลัพธ์ ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ และอาจเกิดขึ้นโดยบังเอิญ

 

ควรเลือกใช้ค่า P-Value เท่าไร: 0.05 หรือ 0.01?

นักวิจัยมักมีคำถามว่าควรใช้ p < 0.05 หรือ p < 0.01 เป็นเกณฑ์ในการตัดสินผลลัพธ์ คำตอบขึ้นอยู่กับ สาขาวิชาการ ผลกระทบของข้อผิดพลาด และความต้องการความแม่นยำของการศึกษา

 

1. เมื่อใดควรใช้ p < 0.05

p < 0.05 เป็นค่าเกณฑ์ที่นิยมใช้มากที่สุด เนื่องจากเป็นสมดุลระหว่างการตรวจจับผลที่เกิดขึ้นจริงและการลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด เหมาะสำหรับ:

  • สังคมศาสตร์ (เช่น จิตวิทยา การศึกษา วิจัยธุรกิจ)

  • การศึกษาสำรวจเบื้องต้น (Exploratory Studies) ที่ต้องการตรวจสอบสมมติฐานเบื้องต้น

  • การวิจัยตลาด ซึ่งข้อผิดพลาดเล็กน้อยอาจไม่กระทบต่อการตัดสินใจมากนัก

การใช้ p < 0.05 หมายความว่านักวิจัยยอมรับว่า มีโอกาส 5% ที่ผลลัพธ์ที่เห็นเป็นเพียงความบังเอิญ (Type I Error)

 

2. เมื่อใดควรใช้ p < 0.01

ในกรณีที่ข้อผิดพลาดมี ผลกระทบร้ายแรง ควรใช้เกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้นอย่าง p < 0.01 เพื่อเพิ่มความมั่นใจ เหมาะสำหรับ:

  • การวิจัยทางการแพทย์และเภสัชศาสตร์ (เช่น การทดลองทางคลินิก)

  • พันธุศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ประสาท ซึ่งต้องการผลที่สามารถทำซ้ำได้อย่างแม่นยำ

  • วิศวกรรม และวิทยาศาสตร์กายภาพ ที่ต้องการค่าความแม่นยำสูง

 

การใช้ p < 0.01 ลดโอกาสเกิด Type I Error (ข้อผิดพลาดประเภทที่ 1 หรือ False Positive) แต่เพิ่มโอกาสเกิด Type II Error (False Negative) ซึ่งหมายความว่าอาจมองข้ามผลลัพธ์ที่สำคัญไป

 

ข้อจำกัดของค่า P-Value: ทำไมจึงไม่ควรใช้เพียงค่าเดียว?

แม้ว่าค่า P-Value เป็นเครื่องมือที่สำคัญ แต่นักวิจัยควรระวังข้อจำกัดดังต่อไปนี้:

 

1. ค่า P-Value ไม่สามารถวัดขนาดของผลกระทบได้

แม้ว่าผลลัพธ์จะมีค่า P-Value ต่ำ แต่ไม่ได้หมายความว่าผลกระทบนั้นมีความสำคัญในทางปฏิบัติ นักวิจัยควร รายงานขนาดของผลกระทบ (Effect Size) เช่น Cohen’s d หรือ Odds Ratio ควบคู่ไปด้วย

 

2. ความมีนัยสำคัญทางสถิติ ≠ ความมีนัยสำคัญทางปฏิบัติ

แม้ว่าผลการทดลองอาจมี นัยสำคัญทางสถิติ แต่หากผลกระทบเล็กมากก็อาจไม่มีความหมายจริงในทางปฏิบัติ เช่น ผลการทดลองอาจแสดงให้เห็นว่า "ยาชนิดใหม่ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างมีนัยสำคัญ" แต่ถ้าผู้ป่วยลดน้ำหนักได้เพียง 0.2 กิโลกรัม ก็อาจไม่มีผลกระทบที่มีความหมายต่อสุขภาพ

 

3. ค่า P-Value ขึ้นอยู่กับขนาดตัวอย่าง

  • หากมีขนาดตัวอย่างใหญ่ แม้แต่ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยก็อาจมีค่า P-Value ต่ำจนดูเหมือนมีนัยสำคัญ

  • หากมีขนาดตัวอย่างเล็ก แม้ว่าจะมีผลกระทบที่สำคัญ ก็อาจไม่ได้ค่าความมีนัยสำคัญทางสถิติ

 

ดังนั้น นักวิจัยควร ใช้ช่วงความเชื่อมั่น (Confidence Intervals) และขนาดของผลกระทบร่วมกับค่า P-Value

 

แนวปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการใช้ค่า P-Value

 

เพื่อให้การวิจัยมีคุณภาพและน่าเชื่อถือ ควรปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้:

  1. กำหนดเกณฑ์ค่า P-Value ล่วงหน้า

    • หลีกเลี่ยงการเลือกค่า P-Value หลังจากเห็นผลลัพธ์ เพราะอาจนำไปสู่ p-hacking หรือการเลือกผลลัพธ์ที่ดูดีที่สุด

  2. รายงานช่วงความเชื่อมั่น (Confidence Interval)

    • ช่วงความเชื่อมั่นให้ข้อมูลเกี่ยวกับขนาดของผลกระทบมากกว่าค่า P-Value เดี่ยว ๆ

  3. ใช้ขนาดของผลกระทบ (Effect Size)

    • แสดงให้เห็นว่าผลลัพธ์มีความสำคัญในทางปฏิบัติหรือไม่

  4. พิจารณาสาขาวิจัยและผลกระทบของข้อผิดพลาด

    • ใช้ p < 0.01 หากต้องการความมั่นใจสูง

    • ใช้ p < 0.05 หากเป็นการศึกษาที่มีความเสี่ยงต่อข้อผิดพลาดต่ำ

  5. อย่าใช้ค่า P-Value เพียงอย่างเดียว

    • ควรพิจารณาร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความน่าเชื่อถือของข้อมูล และการทำซ้ำผลลัพธ์

 

ค่า P-Value เป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจสอบ นัยสำคัญทางสถิติ แต่ต้องใช้อย่างระมัดระวัง นักวิจัยควรพิจารณา ค่า P-Value ควบคู่ไปกับขนาดของผลกระทบ ช่วงความเชื่อมั่น และตัวแปรอื่น ๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ถูกต้อง

 

ที่ Data Investigator เราให้บริการ วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ ให้คำปรึกษา SPSS และช่วยแปลผลลัพธ์งานวิจัย เพื่อช่วยให้นักวิจัยสามารถตีความข้อมูลได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ

 

ต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับค่า P-Value และนัยสำคัญทางสถิติ? ติดต่อ Data Investigator วันนี้!

Comments


  • Line Logo Transparent

© 2016 DataInvestigatorTH

Data Investigator Logo (Black)_edited_ed
bottom of page